วันพุธที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ขนมไทยโบราณ

ขนมครกสารพัดหน้า............. น่าทานสุดๆ


                 ขนมครก.. อาจเป็นอาหารเบา ๆ ยามเช้ากับกาแฟถ้วยโปรด บ้างก็เป็นของว่างยามบ่าย หรือกลายเป็นของหวานยามเย็น เพราะขนมครกหาซื้อได้ง่าย กลิ่นหอม.. ชวนหม่ำ.. หวาน.. มัน.. ถูกปาก 

          สูตร.... ตัวขนมครก ..

          แป้งข้าวเจ้าตราชัางสามเศียร           400     กรัม
          แป้งข้าวเหนียวตราช้างสามเศียร         50     กรัม
          น้ำกะทิ                                         3     ถ้วย
          น้ำร้อนจัด                                      4     ถ้วย

              วิธีทำ

           เริ่มด้วย...เทแป้งข้าวเจ้า 400  กรัม  ใส่อ่างผสมค่ะ ตามด้วยแป้งข้าวเหนียว  50  กรัม ค่อย ๆ  เท น้ำกะทิตามลงไป   3  ถ้วย คนแป้ง เบา ๆ มือนะคะ ใส่น้ำร้อน  4  ถ้วย ตามได้เลยค่ะ
    เมื่อใส่ส่วนผสม ทุกอย่างครบแล้ว คนแป้ง อย่างรวดเร็วนะคะ ....เพื่อให้ส่วนผสมทุกอย่าง  ละลายเข้ากันค่ะ

        สูตรหน้าขนมครก
           หัวกะทิ                 3     ถ้วย
          น้ำตาลทราย         2     ถ้วย
          เกลือ                     2     ช้อนชา

       วิธีทำ

     เทน้ำตาล ใส่อ่าง   จากนั้น เทหัวกะทิ คนส่วนผสมทุกอย่าง... ให้ละลายเข้ากัน.. เสร็จเรียบร้อยแล้วค่ะ ผสมค่ะ ตามด้วยเกลือค่ะ 

            นำถาดขนมครก ยกขึ้นตั้งไฟค่ะ เปิดไฟอ่อน ๆ นะคะ ใช้น้ำมันใหม่ ๆ  ขอย้ำ..ต้องน้ำมัน ใหม่ ๆ นะคะ เช็ดให้ทั่วทุกหลุมขนมครกเลยค่ะ 

 ดูซิคะ  เอาไว้โรย  หน้าขนมครกค่ะ.... แจ่ม...จ๋วย ...แจ๋ว ..น่าเจี๊ยะ...ไหมคะ ??? มีฝอยทอง  เผือก  ข้าวโพด  ต้นหอม ..
               พอถาด ขนมครก เริ่มร้อน... สังเกตว่ามีควันขึ้นเล็กน้อย... ตักแป้งตัวขนมครก หยอดได้เลย 
เวลา หยอดแป้งตัวขนมครก อย่าให้เต็มหลุมนะคะ.. เหลือไว้ หยอดหน้าขนมครกค่ะ..



หยอดไปได้ สัก  6-7  หลุม ต้องรีบกลับมาหยอดหน้าขนมค่ะ เพราะถ้าปล่อยให้แป้งตัวขนมสุก.. หน้าขนมที่เป็นหัวกะทิ.. จะไหล...หก..ตกทิ้ง..  น่าเสียดายค่ะ
               เรามาโรยหน้าขนมครกกันเลยค่ะ เมื่อโรยหน้า ขนมตรบแล้ว.. ปิดฝา...นั่งรอ..จินตนาการกันนะคะว่า จะไหม้...เอ้ย..ขออภัยค่ะ .. จะอร่อย..เพียงไร....


                     มาเปิดฝา ขนมครก กันค่ะ ยกจานมาค่ะ  จะ..แคะ..ขนมครกแล้ว และนี่ก็คือ ขนมครกสวย ๆ สำหรับทุกคน ลองไปทำกันดูนะจ๊ะ 


ขนมไทยโบราณ

ขนมชักหน้า(ขนมน้ำดอกไม้)



             วันนี้อยากจะมาชวนเพื่อนๆ  ทำขนมไทยที่ชื่อว่า "ขนมชักหน้า" กันค่ะ แต่อ๊ะๆ ... พูดว่าขนมชักหน้าเพื่อนๆ อาจจะงง งั้นขอเรียกว่าขนมน้ำดอกไม้แล้วกันค่ะ  เพราะเป็นขนมอย่างเดียวกันจ้า

           ป.ล. สมัยก่อนคนโบราณจะเรียกขนมน้ำดอกไม้ว่าขนมชักหน้า  เพราะว่าหลังจากนึ่งเสร็จแป้งจะชักบุ๋ม (ภาษาโบราณเค้าเรียกอย่างนี้) ลงเป็นวงที่ตรงกลางถ้วยอ่ะค่ะ



       

               ส่วนผสม


    - แป้งข้าวเจ้า 1/2 ถ้วย
    - แป้งมันสำปะหลัง 2 ชต.
    - น้ำลอยดอกมะลิ 3/4 ถ้วย
    - น้ำตาลทราย 1/4 ถ้วย
    - สีผสมอาหารตามชอบ









          วิธีทำ

       1.เริ่มต้นเลยก็ให้เราเทแป้งข้าวเจ้ากับแป้งมัน รวมกันในกาละมังใบย่อม ๆ สักใบ ... ใช้พายยางหรือทัพพีคนให้พอเข้ากันอย่างคร่าวๆ ค่ะ   แล้วก็นำไปร่อนที่ร่อนแป้ง 2 รอบค่ะ ........ ร่อนเสร็จ พักไว้ก่อน


       2.ต่อมาก็ให้เทน้ำตาลใส่ลงในกาละมังใบเล็ก ๆ สักใบค่ะ  แล้วเทน้ำลอยดอกมะลิตามลงไป  (ดอกมะลิไม่เอานะคะ ^^) .... คนด้วยตะกร้อมมือ จนกระทั่งน้ำตาลละลายหมดค่ะ


       3.พอน้ำตาลละลายหมดแล้วก็ให้เทน้ำ (ที่เราคนผสมน้ำตาลเมื่อกี้แหละค่ะ) ใส่ลงไปในกาละมังแป้ง เทครั้งแรกให้ใส่น้ำลงไปแค่ครึ่งเดียวก่อนนะคะ   แล้วใช้ตะกร้อมือคนแป้งกับน้ำให้เข้ากัน จนไม่เหลือแป้งเป็นเม็ดๆ 


     4.ก็ให้เทน้ำส่วนที่เหลือใส่ลงไป  คนด้วยตะกร้อมืออีกครั้งให้เข้ากันดี ก็เป็นอันใช้ได้ล่ะค่ะ


     5.จากนั้นก็ทำการแบ่งเป็น 3 ส่วนเท่าๆ กัน  (พิมจะผสมสี 3 สี ก็เลยแบ่งเป็น 3 ส่วน ถ้าเพื่อนๆ จะผสมสีมากกว่านี้ก็แบ่งตามใจชอบเลยนะคะ)


     6.แล้วก็หยดสีผสมอาหารที่เป็นน้ำลงไป ... ซึ่งตอนหยดสีเนี่ยต้องระวังนิดนะคะ อย่าหยดสีลงไปพรวดเดียวเยอะๆ เพราะสีมันจะเข้มเกินจนกลายเป็นน่ากลัว ไม่ใช่น่ากิน  และถ้าสีเข้มกินจะแก้ไขให้กลับมาสีอ่อนไม่ได้อ่ะค่ะ  ดังนั้นแล้วเพื่อความไม่ประมาทพิมจึงจำเป็นต้องมีตัวช่วยก็คือ หลอดดูดน้ำนี่แหละค่ะ  ... หลอด 1 หลอดเอามาตัด (ปลายเฉียง) แบบในภาพด้านล่างให้ได้ 3 อัน (3 สี)  แล้วใช้หลอดแต่ละส่วน แตะสีจากในขวดมาใส่ในส่วนผสมทีละนิดแบบในภาพอ่ะค่ะ .... หยดสีครั้งนึงก็คนให้สีเข้ากับส่วนผสมครั้งนึง ถ้าสีอ่อนไป ก็ค่อยเอามาหยดเติมอีกีละนิด ๆ นะคะ
    



และเมื่อเราผสมสีเสร็จแล้ว ... เราก็จะได้ส่วนผสมของขนมน้ำดอกไม้ (ก่อนจะเอาไปนึ่ง) ออกมาหน้าตาและสีสันประมาณในภาพด้านล่างนี้อ่ะค่ะ
         ระหว่างนี้ก็พักส่วนผสมเอาไว้ก่อน  หันมาตั้งหม้อซึ้งบนเตาไฟ ใส่น้ำในก้นซึ้งประมาณ 3/4 ... ใช้ไฟแรง  พอน้ำเดือดจัด ก็เรียงถ้วยตะไลแบบปากแคบลงไปบนซึ้ง  (1 สูตรได้ประมาณ 20 ถ้วย)  แล้วนำไปนึ่งประมาณ 10 นาทีหรือจนกระทั่งถ้วยร้อนจัดค่ะ
                พอถ้วยร้อนจัดแล้ว ก็เปิดฝาซึ้ง หรี่ไฟลงให้เหลือไฟอ่อนที่สุด   (เพื่อไม่ให้ไอน้ำลอยขึ้นมาลวกมือเราขณะหยอดตัวขนม)  แล้วก็หยอดตัวขนมลงไปจนเกือบจะเต็มถ้วยแบบในภาพอ่ะนะคะ  จากนั้นก็ปิดฝาซึ้ง เร่งไฟแรง แล้วนึ่งเป็นเวลาประมาณ 13 นาทีค่ะ  (ถ้าซึ้งเล็กสัก 12 นาทีก็พอ)
           พอ 13 นาทีผ่านไป  ก็ให้เราดับไฟเตาแล้วเปิดฝาซึ้งทันที ... แล้วเราก็จะได้ขนมน้ำดอกไม้ หรือขนมชักหน้าที่สุกแล้วออกมาหน้าตาประมาณในภาพนี้ล่ะค่า ^^ แต่ ...... แม้ขนมจะสุกแล้ว เราก็ยังจะกินในตอนนี้ไม่ได้นะคะ ต้องรอให้ขนมหายร้อนก่อน  (ถ้าแคะตอนนี้ โอกาสที่ขนมจะติดถ้วยมีเยอะค่ะ)  .... แถมเมื่อทิ้งขนมไว้ให้เย็นเนี่ย ตรงกลางขนมก็จะบุ๋มตัวลงมากกว่าตอนสุกใหม่ ๆ อีกหน่อยด้วยอ่ะค่ะ ^^

            แล้วพอขนมเย็นตัวดี .. ก็ได้ฤกษ์แคะขนมออกมากินแล้วค่ะ  ซึ่งขนมน้ำดอกไม้ที่ดีเนี่ย นอกจากจะต้องมีเหนียวนุ่ม ความันวาว มีรอยบุ๋มตรงกลางแล้ว .... เวลาเราแคะขนมก็จะต้องแคะออกมาได้ง่ายมาก และขนมก็จะไม่ติดถ้วยเลยสักนิดด้วยอ่ะค่ะ ^^






ขนมไทยโบราณ

ขนมตาล สีเหลืองนวลเนื้อเหนียวนุ่ม หอมอร่อย



            จะมีสักกี่คนที่เดินผ่านร้านขายขนมไทยในขณะที่กำลังนึ่งขนมตาลร้อน ๆ แล้วจะไม่หยุดชะงักไปกับกลิ่นหอม ๆ ของขนมไทยถ้วยนี้ สีเหลืองสดใส่อยู่ในกระทงใบตอง หรือสมัยนี้ก็อยู่ในถ้วยตะไลเล็ก ๆ เนื้อเหนียวนุ่ม รสชาติหวานกำลังดี วันนี้เราก็มีวิธีทำขนมตาลมาฝาก เป็นสูตรจากนิตยสาร Health & Cuisine ที่ได้ประยุกต์มาจากสูตรดั้งเดิมให้ทำได้ง่ายขึ้น มือใหม่ก็สามารถลองทำได้ ลองมาดูส่วนผสมและวิธีทำกันค่ะ
    

         ส่วนผสม

         น้ำตาลทราย 400 กรัม
         กะทิ 3 ถ้วย
         เนื้อลูกตาลสุก 350 กรัม
         แป้งข้าวเจ้า 500 กรัมผงฟู 1 ช้อนโต๊ะ
         มะพร้าวทึนทึกขูดเส้นเล็ก คลุกเกลือเล็กน้อยสำหรับโรยหน้า 2 ถ้วย

        วิธีทำ

          1. ละลายน้ำตาลทรายในกะทิ เติมเนื้อลูกตาลลงไป คนให้เข้ากัน จากนั้นใส่แป้งและผงฟูลงไป คนให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกันจนเนียน

        2. กรองส่วนผสมด้วยผ้าขาวบาง พักไว้ ประมาณ 10 นาทีให้ส่วนผสมขึ้น

       3. ระหว่างรอขนมขึ้น ใส่น้ำในลังถึง ตั้งไฟกลางเตรียมไว้ เรียงถ้วยตะไลลงในลังถึง พอส่วนผสมครบเวลา ตักส่วนผสมยอดลงในถ้วยตะไลจนเต็มถ้วย โรยด้วยมะพร้าวทึนทึก นึ่งบนน้ำเดือดประมาณ 15-20 นาที จนกระทั่งสุก ยกลงจากเตา พักให้เย็นแซะออกจากถ้วย พร้อมเสิร์ฟ

          Tip : เนื้อลูกตาลสุกซื้อได้ที่ตลาดมหานาคตอนกลางคืน ตั้งแต่เวลา 20.00 น. เป็นต้นไป ซึ่งจะมีขายตั้งแต่เดือนปลายเดือนมกราคมไปจนถึงเดือนพฤษภาคมของทุกปี

          วัยรุ่นยุคใหม่ลองหันมาทำขนมไทย ๆ อย่างขนมตาลกันดูบ้างนะคะ อนุรักษ์ของไทย แล้วจะรู้ว่าขนมไทยเนี่ยก็อร่อยไม่แพ้เบเกอรี่ของฝรั่งเลยล่ะ

                                
                                

  

ขนมไทยโบราณ

บัวลอยไข่หวาน ขนมไทยในดวงใจ อร่อยไม่รู้ลืม


                จะมีใครสักกี่คนที่ไม่เคยกินขนมบัวลอยบ้างไหมน้า ขนมไทยเนื้อเหนียวนุ่มกินคู่กับน้ำกะทิหวาน ๆ หอม ๆ ตักกินร้อน ๆ อร่อยนักแล
              วันนี้ดิฉันก็เลยขอนำสูตรบัวลอยไข่หวานมาฝากเสียเลย เม็ดบัวลอยหลากสีสันน่ากิน เสิร์ฟเคียงคู่มากับไข่หวาน เข้ากันดีสุด ๆ ถ้าพร้อมแล้วก็ลุยเลยสิคะ

     สิ่งที่ต้องเตรียม

            แป้งข้าวเหนียว 1 ถ้วย

           น้ำ 1/4 ถ้วย

           เผือกนึ่งสุก (หรือสีผสมอาหารสีม่วง)

           ฟักทองนึ่งสุก (หรือสีผสมอาหารเหลือง)

           น้ำใบเตยคั้นเข้มข้น (หรือสีผสมอาหารสีเขียว)

           น้ำกะทิ 1 ถ้วย

           น้ำตาลทราย 1 ถ้วย

           เกลือป่น 1 ช้อนชา
         
           ไข่ไก่


       วิธีทำ

        แบ่งแป้งออกเป็น 3 ส่วน ส่วนที่ 1 นวดผสมแป้งกับน้ำและเผือกนึ่งสุก ส่วนที่ 2 นวดแป้งกับน้ำและฟักทองนึ่งสุก ส่วนที่ 3 นวดแป้งกับน้ำใบเตย นวดผสมจนเข้ากันเป็นเนื้อเดียว ปั้นเป็นก้อนกลม ๆ แล้วนำไปคลุกแป้งข้าวเหนียวบาง ๆ เตรียมไว้ 

        ใส่น้ำกะทิลงในหม้อ เติมน้ำตาลทรายและเกลือป่น คนผสมจนละลาย นำขึ้นตั้งไฟ พอเดือด รีบปิดไฟ ตักใส่ถ้วยเตรียมไว้
       
        ต้มน้ำในหม้อจนเดือด นำบัวลอยลงต้มทีละสีจนลอยขึ้นมา จากนั้นตักขึ้นสะเด็ดน้ำ ใส่ลงในถ้วย ตักกะทิที่เตรียมไว่ใส่ลงไป 

       ตอกไข่ไก่ใส่ถ้วย ค่อย ๆ เทลงในหม้อน้ำกะทิ รอจนไข่สุกตามชอบ จากนั้นตักขึ้นใส่ลงในถ้วยบัวลอย พร้อมเสิร์ฟ

       
         บัวลอยไข่หวานพร้อมเสิร์ฟแล้วจ้า สีสันน่ากินไหมล่ะคะ อิอิ ถ้าใครอยากลองทำกินเองดู ก็ลุยกันเลยจ้า เปลี่ยนสีกันได้ตามใจชอบ


ขนมไทยโบราณ

ขนมชั้นใบเตย ขนมไทยสีสันสดใส เนื้อเหนียวนุ่ม
                    ขนมชั้น เป็นขนมไทยอีกหนึ่งอย่างที่นิยม กินเป็นอย่างมาก เพราะหาซื้อได้ง่าย ๆ มีเนื้อที่เหนียวนุ่ม รสชาติหวานละมุน หอมกลิ่นใบเตย มีหลายแบบให้เลือก ทั้งแบบชิ้นสี่เหลี่ยมเป็นชั้น ๆ แบบที่เป็นรูปดอกไม้ หรือนำมาพันเป็นรูปดอกกุหลาบก็มี

        ถ้าอยากจะลองทำขนมชั้นกินเอง ก็ลองมาดูมาชมกันต่อได้เลยจ้า

ส่วนผสม

 1.น้ำตาลทราย 2 1/2  .ถ้วย
 2น้ำกะทิ 4  ถ้วย
 3.แป้งข้าวเจ้า 1/2 ถ้วย
 4.แป้งมันสำปะหลัง 1/2 ถ้วย
 5.แป้งท้าวยายม่อม 1 1/2  ถ้วย (หรือแป้งถั่วเขียว)
 6.น้ำใบเตยคั้นเข้มข้น 1/2 ถ้วย
7.น้ำหอมกลิ่นมะลิผสมน้ำ 1/2 ถ้วย
8.ถาดหรือพิมพ์สี่เหลี่ยมสำหรับนึ่งขนม (ขนาด 10x10 นิ้ว หรือ 8x8 นิ้ว)

วิธีทำ

1.ใส่น้ำตาลทรายและกะทิลงในหม้อ คนผสมให้เข้ากัน นำขึ้นตั้งไฟปานกลางประมาณ 5 นาที จนน้ำตาลทรายละลาย (ไม่ต้องรอให้เดือด) ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้จนเย็น
2. นึ่งถาดหรือพิมพ์ในชุดนึ่งที่มีน้ำเดือด ประมาณ 15 นาที เตรียมไว้
3. ผสมแป้งข้าวเจ้า แป้งมันสำปะหลัง และแป้งท้าวยายม่อมเข้าด้วยกัน ค่อย ๆ เทส่วนผสมน้ำกะทิลงไป ใช้มือนวดแป้งให้เข้ากันเป็นเนื้อเดียว นวดประมาณ 15 นาที จนแป้งไม่จับตัวเป็นก้อน จากนั้นนำไปกรองด้วยตะแกรง
4. แบ่งแป้งเป็น 2 ถ้วย โดยถ้วยที่ 1 ผสมกับน้ำใบเตย และถ้วยที่ 2 ผสมกับน้ำมะลิ คนผสมให้เข้ากัน เตรียมไว้
5. ทำชั้นที่ 1 โดยเทส่วนผสมสีขาว (เทส่วนผสมทุกชั้นประมาณ 1/3 ถ้วย) ลงในพิมพ์ ปิดฝา นึ่งประมาณ 5 นาที เปิดฝา เทส่วนผสมสีเขียวลงไป ปิดฝา นึ่งประมาณ 5 นาที ทำซ้ำเช่นเดิม สลับชั้นกันจนหมดแป้ง จะได้ประมาณ 9-10 ชั้น โดยชั้นสุดท้าย ให้นึ่งประมาณ 7 นาที ยกออกจากชุดนึ่ง วางพักทิ้งไว้จนเย็นสนิท (ประมาณ 3 ชั่วโมง)
  6. นำขนมออกจากถาด จุ่มมีดลงในน้ำร้อน กดลงบนขนมเป็นชิ้น ๆ จัดใส่จาน พร้อมเสิร์ฟ






วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ขนมไทยโบราณ

ตะโก้แห้ว ขนมไทยถ้วยจิ๋วหวานละมุนนุ่มลิ้น


     ขนมไทยอย่างตะโก้ชิ้นเล็กจิ๋วหวาน ๆ หอมกลิ่นกะทินุ่มลิ้นหลายคนชอบรับประทาน เพราะมีให้เลือกหลากหลายไส้ทั้งแห้ว ข้าวโพด เผือก หรือสาคู เลือกรับประทานได้อร่อยสุด ๆ วันนี้เราจึงขอนำสูตรตะโก้แห้วมาฝากให้ลองทำรับประทานกันเอง ไปดูกันเลยค่ะ


 สิ่งที่ต้องเตรียม

            น้ำ 1 ถ้วย

           น้ำตาลทราย 1 1/2 ถ้วย

           แป้งข้าวเจ้า 1/2 ถ้วย

           แป้งมัน 1/4 ถ้วย

           แป้งถั่วเขียว 2 ช้อนโต๊ะ

           น้ำลอยดอกมะลิ 2 ถ้วยตวง (หรือน้ำ 2 ถ้วยตวง ผสมน้ำหอมกลิ่นมะลิ ½ ช้อนชา)

           น้ำใบเตยคั้นเข้มข้น 2 ช้อนโต๊ะ

           แห้วต้มสุกหั่นเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าเล็ก 1 ถ้วย

           กระทงใบเตยสำหรับใส่ขนม

       วิธีทำ

          1. ใส่น้ำลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟ ใส่น้ำตาลทราย ต้มจนเดือด และเหนียวเป็นน้ำเชื่อม เตรียมไว้

          2. ผสมแป้งข้าวเจ้า แป้งมัน แป้งถั่วเขียว น้ำลอยดอกมะลิ และน้ำใบเตยจนละลายเข้ากันดี เทใส่ลงในส่วนผสมน้ำเชื่อม กวนผสมจนแป้งสุกเหนียว และใส จากนั้นใส่แห้วลงคนผสมให้เข้ากัน ยกลงจากเตา ตักใส่กระทงใบเตยที่เตรียมไว้ ประมาณ 3/4 ของกระทง ตามด้วยหน้ากะทิจนเต็มพิมพ์ พักทิ้งไว้จนอุ่น จัดใส่จาน พร้อมรับประทาน

สิ่งที่ต้องเตรียม (สำหรับหน้ากะทิ)

          แป้งข้าวเจ้า 1/4 ถ้วยตวง

          กะทิ 2 ถ้วยตวง

           เกลือป่น 1 ช้อนชา

             วิธีทำ

          ใส่แป้งข้าวเจ้า กะทิ และเกลือป่นลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟใช้ความร้อนปานกลาง คนผสมจนข้น และเหนียว ยกลงจากเตา เตรียมไว้หยอดลงบนขนมตะโก้

          หากใครชอบไส้เผือก เม็ดบัว สาคู หรือข้าวโพดก็สามารถดัดแปลงได้ตามความชอบนะคะ แล้วก็มาอร่อยไปพร้อม ๆ กันเลย